ชี้เดินเท้าเปล่าย้ำบนดิน ช่วยบำบัด ทำสุขภาพแข็งแรง

เท้าเป็นอวัยวะสำคัญที่หลายๆ คนมักลืมไปว่าต้องให้การดูแลเป็นพิเศษ เรื่องของ "เท้า" ก็เป็นเรื่องที่คุณผู้หญิงหลายๆ คนเริ่มที่จะให้ความสำคัญกับมันมากขึ้น เพราะบางครั้งที่เราต้องใส่รองเท้าส้นสูง รองเท้าแตะ หรือรองเท้าที่มีลักษณะเปลือยให้เห็นรูปเท้าที่ชัดเจน ก็อาจจะทำให้หลายคนกลุ้มใจได้ว่าเท้าของตัวเองจะ ไม่ขาว เนียน สวย เท่าที่ควร ขนาดแค่เป็นตาปลาหรือเล็บขบก็อาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่โตได้
วิธีสังเกตเท้าว่ายังมีสุขภาพดีหรือเปล่า ให้พิจารณาเรื่องต่อไปนี้
1.อาการปวด เท้าปกติจะไม่ปวด ถ้าปวดแสดงว่ามีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง
หากท่านมีอาการดังต่อไปนี้ให้พบแพทย์
- ปวดต่อเนื่องมากกว่า 72 ชั่วโมง
- บวมเท้าข้างหนึ่งหรือ สองข้างมากกว่า 24 ชม.
- ปวดเท้าเวลาเดินหรือวิ่ง
- ปวดเท้าขณะพักหรือเวลายกขา
2.การไหลเวียนของเลือดบริเวณเท้า โดยการดูว่าสีของผิวหนังมีสีคล้ำๆ แสดงว่าอาจจะเกิดจากเลือดไปเลี้ยงที่เท้าไม่พอ ตรวจสีผิวของนิ้วเท้าหากมีเลือดไหลเวียนปกตินิ้วจะมีสีชมพูและอุ่น หากเท้าขาดเลือดผิวจะมีสีคล้ำและเท้าจะเย็น
3.การเคลื่อนไหวของนิ้วเท้า ลองใช้นิ้วเท้าคีบผ้าบนพื้น หากทำได้แสดงว่านิ้วเท้ายังมีการเคลื่อนไหวที่ปกติดี
4.การทรงตัว โดยการยืนเท้าข้างเดียวและให้หลับตา หากอายุน้อยกว่า 30 ปีจะยืนได้นาน 15 วินาที หากอายุ 30-40 ปีจะยืนได้นาน 12 วินาที อายุ 40-50 ปีจะยืนได้นาน 10 วินาทีและอายุมากกว่า 50 ปีจะยืนได้นาน 7 วินาที การทรงตัวนี้หากบริหารจะทำให้ยืนได้นานขึ้น

12 เคล็ดลับการดูแลเท้า
1. ควรล้างเท้าด้วยน้ำสบู่อุ่น ๆ ประมาณ 10 นาที ซึ่งจะทำให้ผิวหนังนุ่ม แต่อย่าขัดหรือถู หรือแช่น้ำเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้ง
2. ควรเช็ดเท้าให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วต้องให้แห้งจริง ๆ
3. ดูแลเท้าไม่ให้มีรอยฟกช้ำหรือบาดแผล ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเลือกรองเท้าที่ไม่เหมาะกับเท้า
4. วิธีป้องกันเล็บขบ ต้องตับเล็บโดยตัดตรงไม่ตัดตามความโค้งของนิ้ว และไม่ควรตัดเล็บให้สั้นเกินไป และตะไบเล็บทุกครั้งหลังตัดเล็บ
5. การใส่ครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังและรอยต่อของเล็บกับผิวหนังและเท้าสามารถทำได้ แต่ ห้ามทาครีมบริเวณซอกนิ้ว จำไว้ว่าซอกนิ้วต้องให้แห้งเสมอ
6. ถ้านิ้วเท้ามีอาการบวมขึ้น แข็งขึ้นหรือรู้สึกคันบริเวณนิ้วเท้า นั่นอาจเป็นอาการของการติดเชื้อราบนผิวหนัง ควรไปพบแพทย์แต่เนิ่น ๆ
7. สำหรับผู้ที่ทาเล็บก่อนทาเล็บให้ล้างเล็บด้วยน้ำยาล้างเล็บก่อน
8. อย่าละเลยหากมีอาการปวดที่เท้าเนื่องจากโรคบางอย่างสามารถป้องกันและรักษาได้หากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้เกิดความผิดปกติตามมาในภายหลัง
9. ให้ตรวจเท้าเป็นประจำโดยสังเกตสีผิว อุณหภูมิของเท้า
10. เลือกรองเท้าให้เหมาะกับชนิดกีฬาที่จะเล่น และเลือกขนาดที่พอดีกับเท้า
11. ไม่เดินเท้าเปล่าเพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุ
12. หากไปเที่ยวชายทะเลต้องทาครีมกันแดดที่หลังเท้าด้วย
การเดินเท้าเปล่าย้ำไปบนดิน ในมุมมองของบางคนอาจดูว่ามันสกปรก แต่ในอีกทางมันคือการ บำบัด การเดินเท้าเปล่าบนดิน พื้นหญ้า หรือแม้แต่หาดทราย สามารถช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดีขึ้น เพราะเป็นปัจจัยที่จะไปกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความกระปรี้กระเปร่าและสดชื่น
ข้อมูลอ้างอิงจากมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวไว้ว่าตามหลักการแพทย์แผนโบราณของจีน เท้า เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่รับเอาพลังจากมหาปฐพีนี้ แบบเต็มๆมากกว่าอวัยวะอื่น การที่เราจะเปลือยเท้าสัมผัสกับพื้นดินซะบ้าง ย่อมจะทำให้ไฟธาตุในร่างกายเกิดความสมดุล ช่วยเสริมสร้างพลังให้แก่ร่างกายอย่างดียิ่ง
หากสัมผัสเท้าของเราดู จะเห็นว่าที่เท้าจะมีจุดต่างๆ มากมายที่มีความสัมพันธ์กับอวัยวะภายในของร่างกาย ฉะนั้นการเดินเท้าเปล่า จะช่วยกระตุ้นจุดต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะจุดที่เรียกว่า หย่งเฉวียน ถ้าหากได้มีการกระตุ้นที่เหมาะสมแล้ว จะส่งผลให้ สมองที่มีส่วนสัมพันธ์กับไต ไขสันหลัง และระบบประสาทจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยทำให้การขับฮอร์โมนชนิดต่างๆ ในร่างกายเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ร่างกายจึงกระปรี้กระเปร่าและสดชื่นขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
แม้ว่าในแต่ละวันเราจะมีเวลาน้อยในการพักผ่อนและมีโอกาสได้สัมผัสกับธรรมชาติน้อยกว่าคนในอดีต ก็สมควรยิ่งนักที่จะหาโอกาสลองทำดูในเวลาเช้าหรือเย็นก็ได้ก่อนไปทำงาน หรือจะเลือกในช่วงเวลาที่ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ หรือเดินเล่นตามสวนหรือบริเวณที่เป็นพื้นดินพื้นหญ้าวันละเล็กวันละน้อยก็เป็นการดี เพราะความรู้สึกปลดปล่อยจากความวิตกกังวลในเวลาสั้นๆจะช่วยต่อไฟในตัวคุณได้ดีที่เดียว
เห็นอย่างนี้แล้ว เลยไม่แปลกใจว่าทำไม คนระดับรากหญ้า หรือบรรดานักสู้ตีนเปล่าทั้งหลายจึงมีเรี่ยวแรงต่อสู้นานาอุปสรรคได้อย่างไม่ท้อถอย

ที่มา
ข้อมูลจาก : Team Content www.thaihealth.or.th สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.
ภาพประกอบ : www.thaihealth.or.th